1. ตอนสมัครให้เลือกเป็น Professional Seller
ดูรูปด้านบน ในขั้นตอนสมัคร ขอให้ท่านเลือก “Sell as a Professional” ครับ ไม่ใช่ “Individual” เหตุผลก็คือ
1.1 แม้ว่าจะมีค่าสมาชิกรายเดือน $39.95 แต่ท่านจะไม่โดนค่าธรรมเนียมจากการขาย $0.99 ในแต่ละรายการ เพียงแค่ขายเกิน 40 ชิ้นก็ประหยัดค่าธรรมเนียมไปเกินคุ้มค่าสมาชิกรายเดือนแล้ว
1.2 ในฐานะ Professional Seller ท่านสามารถโพสต์ขายสินค้าที่ไม่เคยมีใน amazon.com มาก่อน สินค้าหลายอย่างของผมประสบความสำเร็จจากการที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนนี่เอง ที่ผมดั้นด้นค้นหามาจากทั่วสารทิศ เมื่อมีสินค้าที่ไม่เหมือนใคร (และไม่เคยขายบน Amazon) ผมจึงแนะนำให้เปิดบัญชีเป็น Professional Seller เพื่อที่เราจะได้สามารถนำสินค้าเหล่านี้ไปขายบนนั้นได้
1.3 สินค้าบางหมวดมีข้อจำกัดที่ต้องขออนุมัติก่อนจึงจะขายได้ (เช่นสินค้าในหมวดเสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องประดับ ฯลฯ) และการจะขออนุมัติได้ ต้องเป็น Professional Seller เสียก่อน
2. ขายแบบ FBA (Fulfillment By Amazon)
ซึ่งก็คือแทนที่เราจะต้องส่งสินค้าจากประเทศไทยไปให้ผู้ซื้อ ซึ่งใช้เวลา 15-20 วัน เราก็ฝากสต๊อกสินค้าไว้กับ Amazon เลย เมื่อมีการสั่งซื้อ ทาง Amazon ก็จะหีบห่อและจัดส่งให้เรา ทำให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อเร็วขึ้น เราย่อมได้ feedback/review ที่ดี ส่งผลถึงการขายในอนาคต
แม้ว่าการขายแบบ FBA จะเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่า แต่ถ้าการทำอย่างนั้นแล้วทำให้สินค้าเราขายดีกว่า การขายดีขึ้นก็ย่อมทำให้เกิดกำไรมากพอที่จะชดเชยค่าธรรมเนียมส่วนต่างนี้ได้แน่นอน
3. ทำตามกฎ
รวยขายสินค้าเงินล้านด้วย Amazon FBA คลิ๊ก Banner
3. ทำตามกฎ
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปิดบัญชี หรือสินค้าไม่ถูกค้นพบ ซึ่งเป็นเพราะเราโดนลงโทษหรือจำกัดสิทธิบางอย่าง ทั้งที่โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เราควรทำตามกฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ก่อนจะดีกว่า ท่านสามารถศึกษาเงื่อนไขการใช้งานได้ตามนี้
- Log-in เข้าเว็บ amazon.com ก่อน
- คลิก >> ไปหน้านี้ เกี่ยวกับ Overall Amazon Policy Agreement
ส่วนนโยบายที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการขาย ให้
- Log-in เข้าเว็บ amazon.com
- คลิกที่ปุ่ม Help
- พิมพ์คำว่า Amazon policy ในช่องค้นหา (search bar)
4. อยู่แถวหน้าให้ได้
ก็เหมือนการค้นหาใน Google นั่นแหละ เราก็อยากให้เว็บของเราอยู่ที่หน้าแรกของผลการค้นหาใช่ไหม เวลาผู้ซื้อเขาค้นหาสินค้าอะไรบางอย่างบนเว็บ Amazon เราก็อยากให้สินค้าของเราขึ้นมาแสดงเป็นคนแรกๆ เหมือนกัน ซึ่งผมมีเทคนิคอยู่ 3 อย่างดังนี้
- ราคาสินค้ารวมค่าขนส่งแล้วถูกที่สุด – ตราบเท่าที่บัญชีผู้ขายของเราไม่มีปัญหาอะไร กฎข้อนี้ใช้ได้เสมอ แต่อย่าลืมว่า Amazon คำนวณจากราคาสินค้า+ค่าขนส่งนะครับ หมายความว่า ถ้ามีผู้ขายคนอื่นตั้งราคาสินค้าสูงกว่าเรา แต่เขาขายแบบ FBA รวมราคาแล้วเขาอาจถูกกว่าเราก็ได้ เพราะ Amazon จะคิดว่า ถ้าผู้ซื้อเป็นสมาชิกแบบ Prime Member เขาก็ได้รับสิทธิ Free 2-day shipping อยู่แล้ว หรือต่อให้ผู้ซื้อไม่เป็น Prime Member เขาก็ได้ Free Standard Shipping อยู่แล้วเช่นกัน (ถ้าผู้ขายขายแบบ FBA – ดูข้อ 2) ดังนั้น การที่ต้องพวกค่าขนส่งจากประเทศไทยไปก็ถือว่าเสียเปรียบคนที่ขายแบบ FBA อยู่พอควร ผมยกตัวอย่างดังนี้
สมมุติว่าสินค้าของผมราคา $120 มีค่า shipping $10 รวมแล้วผู้ซื้อต้องชำระเงิน $130
เทียบกับสินค้าเดียวกันของผู้ขายอีกคนหนึ่งแต่ขายแบบ FBA ตั้งราคา $129
แม้ว่าราคาสินค้าของเขาจะแพงกว่าของผม แต่เมื่อรวมค่าขนส่งแล้วของเขาถูกกว่า สินค้าของเขาก็จะถูก list ออกมาก่อนของผม
- ขายสินค้าที่ไม่มีใครเหมือน – ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้จักหาสินค้าไทยๆ ไปขายบนนั้น ฝรั่งไม่มีหรอก อย่างพวกถ้วยเบญจรงค์, แจกันดอกไม้ประดิษฐ์, สินค้า OTOP หลายอย่าง ถ้าจะมีคู่แข่ง ก็มีแต่คนไทยด้วยกันเท่านั้น ถ้าท่านจริงจังกับธุรกิจนี้ และตั้งหน้าตั้งตาค้นคว้า เสาะหาสินค้าใหม่ๆ เสมอ ผมว่าก็ไม่มีวันหมดมุขไปได้ ผมจึงไม่กลัวที่จะนำความรู้ในการทำธุรกิจชนิดนี้มาแบ่งปันในรูปแบบของ คอร์สเรียน AmazonMaxProfits ในตลาดปัญญาเลยครับ
- อาศัยนโยบายควบรวมสินค้า – ซึ่ง Amazon มีนโยบายอยู่แล้วว่าให้สามารถนำสินค้ามากกว่า 1 ชนิดมารวมกันสร้างเป็นสินค้าชื่อใหม่ได้ เช่น แทนที่จะขายมาม่ารสหมูสับ มาม่ารสต้มยำ มาม่าน้ำตกหมู แยกๆ กัน เราก็อาจจับสินค้า 3 items มามัดรวมกันเป็น มาม่ารวมรส ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชื่อสินค้าของเรามีความเป็นเอกลักษณ์ (unique) เมื่อไม่ซ้ำใคร คู่แข่งก็น้อย มีโอกาสติดผลการค้นหาถูกไหมครับ
5. ตอบกลับลูกค้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าเขียนคำถามหรือข้อความใดๆ มาถึงท่าน สิ่งที่ Amazon อยากเห็นก็คือ “ท่านตอบภายใน 24 ชั่วโมง” ไม่ยากเลยใช่ไหม ไม่ใช่ 5 นาทีหรือครึ่งชั่วโมงซักหน่อย การไม่ตอบสนองต่อลูกค้าภายใน 24 ชั่วโมงถือว่าท่านไม่ใส่ใจกับบัญชีผู้ขาย และนั่นทำให้ความน่าเชื่อถือที่ลูกค้า (และ Amazon) ที่มีต่อท่านลดลงอย่างมาก
6. เขียนคำอธิบายสินค้าให้ละเอียด
เป็นเรื่อง Basic แต่หลายคนพลาดเรื่องนี้ จะด้วยความขี้เกียจหรือความไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ก็เลยเขียนแค่สั้นๆ ลองนึกว่าถ้าท่านเป็นผู้ซื้อ ท่านก็อยากเห็นอ่านรายละเอียดของสินค้านี้ถูกไหมครับ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเขียนรายละเอียดของสินค้าจะทำให้ผู้ซื้อได้รับความคาดหวังอย่างถูกต้องว่าจะได้รับสินค้าอย่างไร เช่น สี น้ำหนัก functions/features ต่างๆ เชื่อผมอย่างนะครับ..ผู้ซื้อมีความละเอียดละออ และถ้าพวกเขาไม่ได้รับสินค้าตรงกับที่คาดหวังเป๊ะๆ เขาจะขอคืนสินค้า หรือมี feedback เชิงลบ เขียน review เชิงลบ ทำให้สถานะบัญชีผู้ขายของท่านย่ำแย่เลยทีเดียว
7. ถามหา Feedback
มีเหตุผลสำคัญ 2 อย่างที่ท่านควรถามหา feedback จากลูกค้าของท่านเสมอ
7.1 ผู้ซื้อคนอื่นต้องการอ่าน review จากลูกค้าคนเก่า เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าท่านเป็นผู้ขายที่ไม่มีปัญหา ไว้ใจได้ ไม่คดโกง ส่งสินค้าตรงตามเวลา ได้รับสินค้าถูกต้องตามที่คาดหวัง ฯลฯ หากไม่มีใครเขียน review ให้ท่านเลย ท่านจะขาด “Social Proof” ซึ่งสำคัญมากสำหรับการค้าขายออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บ Amazon
7.2 Amazon ให้ความสำคัญอย่างมาก เขาจะวิเคราะห์ feedback จากลูกค้าของท่าน และให้คะแนนความน่าเชื่อถือของบัญชีของท่านอย่างเงียบๆ และมันส่งผลถึงการแสดงสินค้าของท่านในหน้าผลลัพธ์การค้นหา ฯลฯ
8. ใช้รูปภาพสินค้าขนาดใหญ่และทำตามข้อแนะนำของ Amazon
รูปภาพของสินค้าต้องมีขนาดกว้างหรือสูงอย่างน้อย 1,000 pixels มีตัวสินค้าอยู่ในรูปกินพื้นที่ 85% และใช้ Background สีขาว ทั้งนี้ก็เพื่อผู้ซื้อจะได้ใช้ฟีเจอร์ Zoom ภาพของ Amazon เพื่อดูรายละเอียดของสินค้าได้ อ่านรายละเอียดข้อแนะนำเกี่ยวกับรูปภาพสินค้าของ Amazon ได้ที่นี่ << คลิก
9. ให้ความสำคัญกับการหีบห่อ
นึกสภาพกล่องสินค้าที่มาถึงท่านในสภาพบุบบี้ หรือสินค้าภายในเสียหาย ถ้าเป็นลูกค้าของท่าน..เขาเขียน review ห่วยๆ ให้ท่านแน่นอน บางทีเรื่องของการแพ๊คสินค้าก็ดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ผมก็สงสัยว่าทำไมหลายคนไม่ทำตรงนี้ให้ดี เอาเป็นว่านี่คือ Tips & Tricks ที่ผมฝากไว้ ณ ที่นี้ละกันครับ
- ใช้กล่องที่ค่อนข้างแข็งแรง ดูตัวอย่างกล่องไปรษณีย์ไทยถือว่าใช้ได้แล้วครับ
- ถ้าเอากล่องเก่ามาใช้ อย่าลืมเอาป้ายต่างๆ ของเก่าออกให้หมดเพื่อป้องกันการสับสน
- ถ้าในกล่องบรรจุสินค้าหลายชิ้น ให้หุ้มห่อแต่ละชิ้นแยกกันด้วยวัสดุกันกระแทก
- อย่าขี้เหนียวกับเรื่องวัสดุกันกระแทก
- สก๊อตเทปที่ใช้ ให้ใช้แบบที่เสริมแรง (เช่น มีเส้นใยฝังในเทปเพื่อรับแรงดึง)
- ติดป้ายชื่อ-ที่อยู่ของผู้รับและผู้ส่งอย่างชัดเจน
10. สินค้าที่จะนำไปขาย..ให้คัดเลือกอย่างมีแบบแผน
ไม่ใช่ว่าอะไรก็ขายได้ แต่หลายครั้งสินค้าที่เราเลือกไปขายบนเว็บ Amazon กลับมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้ท่านมีต้นทุนเพิ่ม (ในการขนส่ง หรือหีบห่อ) หรือขายไม่ดีเท่าที่ควร ผมเองจะมี Checklist และการให้คะแนน (Scoring) สินค้าที่จะนำไปขาย จะได้ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน และคัดแต่ตัวเจ๋งๆ เท่านั้นไปขาย ซึ่งได้ผลมากเลยครับในเรื่องนี้ ท่านไหนที่สนใจ ดาวน์โหลด Amazon Market Criteria Checklist ได้ที่นี่ ครับ
ก็หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังทำหรือคิดที่จะทำธุรกิจขายสินค้าบนเว็บ amazon.com กันนะครับ สนใจคอร์สทำเงินกับ Amazon แบบ FBA เรียนจับมือทำ
พิเศษ ศิริกิจ – ผู้สอนคอร์ส AmazonMaxProfits
ป.ล. ถ้ารักเพื่อนๆ ก็อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้อ่านนะครับ
รวยขายสินค้าเงินล้านด้วย Amazon FBA คลิ๊ก Banner